อีกเพียงไม่กี่วันริ้วธงสีเหลืองพร้อมตัวอักษรจีนสีแดงเขียนว่า “เจ” จะเริ่มถูกประดับประดาตามศาลเจ้าและร้านอาหารเต็ม 2 ข้างทาง สัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่า “เทศกาลกินเจ” มาถึงแล้ว ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 29 กันยายน - 7 ตุลาคม 2562 หรือบางคนก็เริ่มล้างท้อง 1 วันล่วงหน้าตั้งแต่ 28 กันยายน หลายคนคงเริ่มนึกถึงเมนูอาหารเจกันแล้ว ถึงอาหารเจจะมีหลากหลาย แต่ก็เป็นเมนูเดิม ๆ หากมีเมนูแปลกใหม่มาให้ลิ้มลองก็คงน่าสนใจไม่ใช่น้อย เจปีนี้คงอิ่มฟินทั้งพุงและบุญแน่ ส่วนใครที่อยากลองหันมากินเจ หรือคนที่กินมาหลายปีแล้ว รู้มั้ยว่าการกินเจมีที่มาอย่างไรและอาหารเจมีอะไรบ้าง วันนี้เรามีคำตอบให้ทั้งหมดนี้ พร้อมร้านอาหารและขนมเจขึ้นชื่อมาแนะนำให้ได้ไปลองกัน
การกินเจ หรือเทศกาลถือศีลกินผัก (เจี๊ยะฉ่าย) เป็นประเพณีที่เริ่มต้นมาจากประเทศจีนและสืบทอดมายาวนานนับพันปี เพื่อเป็นกุศโลบายให้คนทำความดี โดยใช้เวลารวม 9 วัน เริ่มตั้งแต่ขึ้น 1 ค่ำ จนถึงขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีนของทุกปี ซึ่งเรื่องราวการกินเจมีตำนานเล่าขานหลายตำนาน หนึ่งในตำนานที่เล่าต่อกันมาคือ กว่า 1,500 มาแล้ว มณฑลกังไสเป็นดินแดนที่เจริญรุ่งเรืองมาก ฮ่องเต้เมืองนี้มีพระราชโอรส 9 พระองค์ซึ่งเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ทำให้หัวเมืองต่าง ๆ ยอมสวามิภักดิ์ ยกเว้นแคว้นก่งเลี้ยดที่มีกองกำลังทหารเหนือกว่า ทั้งสองแคว้นทำศึกกันหลายครั้ง แต่กองทัพก่งเลี้ยดไม่สามารถทลายกองทัพของพระราชโอรสทั้ง 9 พระองค์ได้ กระทั่งชาวกังไสแตกสามัคคี พระราชโอรสทั้ง 9 ออกรบจนสิ้นพระชนม์ แต่ด้วยความดีทำให้ได้ไปเกิดเป็นอมตะวิญญาณอยู่บนสรวงสวรรค์ เพื่อคอยดูแลชาวบ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข จนถึงคราวที่เมืองกังไสเกิดภัยพิบัติ ดวงวิญญาณพระราชโอรสองค์โตจึงแปลงกายเป็นขอทานโรคเรื้อนมาทดสอบจิตใจเศรษฐีลีฮั้วก่าย จากนั้นพระองค์จึงได้แนะนำเศรษฐีให้ถือศีลรับประทานผักเพื่อชำระล้างบาปเคราะห์ เศรษฐีจึงเริ่มลงมือปฏิบัติและชวนชาวบ้านร่วมรับประทานผักด้วย ไม่นานเศรษฐีก็ร่ำรวยขึ้น ชาวบ้านก็อยู่เย็นเป็นสุข ทำให้ชาวเมืองกังไสปฏิบัติเช่นนี้สืบมานับตั้งแต่ 1 ค่ำ เดือน 9 ของทุกปีเป็นเวลา 9 วัน จนกลายมาเป็นเทศกาลกินเจในปัจจุบัน
การถือศีลกินเจในไทย ได้รับการสืบทอดโดยชาวไทยเชื้อสายจีนที่อพยพเข้ามาในไทยตั้งแต่สมัยอาณาจักรอยุธยามาจนถึงปัจจุบัน โดยคำว่า “เจ” มาจากคำว่า “ไจ” อักษรจีนเขียนด้วยสีแดง ซึ่งเป็นสีแห่งความเป็นสิริมงคล บนพื้นสีเหลือง ซึ่งเป็นสีแห่งความเป็นกษัตริย์ “เจ” หรือ “ไจ” ในภาษาจีน หมายถึง อุโบสถ หรือการรักษาศีล 8 ซึ่งการรักษาศีล 8 ตามคำสอนพุทธศาสนาฝ่ายนิกายมหายาน จะไม่กินเนื้อสัตว์ จึงนิยมเรียก "การไม่กินเนื้อสัตว์" รวมกับคำว่า "กินเจ" เป็นการถือศีลไปด้วย ความหมายของ “การกินเจ” จึงไม่เพียงแต่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ทว่าต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรม มีความบริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา และใจ
เมื่อพูดถึงอาหารเจ หลายคนมักนึกถึงอาหารที่มีแต่ผัก แต่ในความจริง “อาหารเจ” ต้องเป็นอาหารที่ต้องปรุงจากพืชและผักธรรมชาติล้วน ๆ ไม่มีเนื้อสัตว์ หรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสัตว์ปนเลย ที่สำคัญต้องไม่ปรุงด้วยผักฉุน 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม, หัวหอม, หลักเกียว (กระเทียมโทนจีน), กุยฉ่าย และใบยาสูบ รวมถึงเครื่องเทศรสเผ็ดร้อน เพราะชาวจีนเชื่อว่าผักเหล่านี้จะส่งผลต่อพลังธาตุในร่างกาย
เมื่อรู้กันแล้วว่าการกินเจมีที่มาเป็นอย่างไร และอาหารเจเป็นแบบไหน เริ่มอยากกินขึ้นมาเลยใช่ไหม ไม่ต้องรอช้า ไปดู 8 ร้านอาหารและขนมเจ ที่อยากแนะนำกันเลย
1. Chijuya Restaurant (ชิจูย่า)
ใครที่ไม่นิยมทานเจเพราะคิดว่ามีแต่อาหารไทยและจีน เจปีนี้คงต้องเปลี่ยนใจแน่นอน เพราะหากได้มาทานอาหารเจสไตล์ญี่ปุ่นที่ “ชิจูย่า” จะติดใจจนไม่อยากออกเจกันเลย เพราะที่นี่นอกจากจะใช้วัตถุดิบเจคุณภาพจากไต้หวันมานำเสนอเมนูอาหารได้อย่างแตกต่างไม่เหมือนใครแล้ว รสชาติยังไม่แพ้อาหารญี่ปุ่นแบบปกติอีกด้วย โดยเมนูขึ้นชื่อของร้านคือ ซูชิอโวคาโด, ปลาไหลโรยงา, เทมปุระ และข้าวปั้นต่าง ๆ งานนี้คอญี่ปุ่นไม่ควรพลาด
พิกัด: ถนนทรงวาด กทม.
2. ตาละลักษมณ์ (Talalask) หรือ Veggies Thai
เมื่อพูดถึงอาหารเจ หลายคนมักนึกถึงอาหารที่มีความจืดชืด แต่เมื่อมาที่ “ตาละลักษมณ์” หรือ “Veggies Thai” คุณจะลืมภาพอาหารเจเดิม ๆ ไปเลย เพราะที่นี่นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องรสชาติอาหารจัดจ้านตามสไตล์อาหารไทยในราคาเอื้อมถึงได้แล้ว ยังโดดเด่นเรื่องการทำอาหารเจเลียนแบบเนื้อสัตว์ได้เหมือนมากจนแทบไม่น่าเชื่อว่ากำลังทานอาหารเจ แถมมีเมนูให้เลือกหลากหลาย ทั้งอาหารไทย อีสาน จีน และฝรั่ง ครบทุกความต้องการทีเดียว เมนูเด็ดได้แก่ ยำแหนมข้าวทอด ที่ใช้ข้าวไร้ซ์เบอร์รี่ผสมข้าวกล้องและข้าวสวย ทอดจนกรอบนอกนุ่มใน คลุกเคล้ากับถั่วลิสงและหนังหมูเจซึ่งทำจากเส้นบุกพิเศษเคี้ยวหนึบหนับเพลิน ๆ หรือเนื้อเจรวมตุ๋นยาจีน และสเต๊กเต้าหู้ ที่เสิร์ฟแบบกระทะร้อนกินกับผักโขม ดอกกะหล่ำและมันฝรั่งย่าง อร่อยฟินจนหยุดไม่อยู่ทีเดียว
พิกัด: 6 สาขา ได้แก่ Golden Place พระราม 9, พระราม 2, เลียบคลองประชาชื่น, เซ็นทรัลเวิลด์, บิ๊กซี ราชดำริ และ All Seasons
3. Loving Hut (เลิฟวิ่ง ฮัท)
สายเจคนไหนที่ขี้เบื่อ จะต้องตกหลุมรักร้านนี้ เพราะถึงแม้จะมีหลายสาขา ทว่าแต่ละสาขาจะมีเมนูอาหารแตกต่างกันตามความถนัด และหมัดเด็ดของเชฟแต่ละร้าน เรียกว่าไปแต่ละสาขา เมนูไม่มีซ้ำกันแน่นอน โดยมีให้เลือกกว่า 200 เมนู ทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น และนานาชาติ เพื่อให้คอเจได้ลิ้มลองอาหารอร่อย ๆ แบบไม่มีเบื่อได้ทุกวัน แต่สิ่งที่เหมือนกันและเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่คือ ทุกสาขาจะเลือกใช้วัตถุดิบที่ปราศจากเนื้อสัตว์ 100% ปัจจุบัน Loving Hut มีทั้งหมด 6 สาขาใครใกล้สาขาไหน ไปอิ่มฟินที่สาขานั้นได้เลย
พิกัด: 6 สาขา ปากเกร็ด, พระราม 3, รามอินทรา 51, บางนา-ตราด 32, พระพุทธบาท สระบุรี และปากช่อง นครราชสีมา
4. Veggie Chef (เวจจี้ เชฟ)
อีกหนึ่งร้านอาหารเจที่สายบุญพลาดไม่ได้เด็ดขาด โดยเฉพาะมือใหม่หัดทานเจ โดย “เวจจี้ เชฟ” เป็นร้านอาหารเจสไตล์ฟิวชั่นที่เลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพและข้าวอินทรีย์จากชาวนาโดยตรง ที่สำคัญไร้ผงชูรส ทำให้เมนูทุกจานสดใหม่ กินง่าย และไม่จำเจ เมนูเด็ดที่มาแล้วต้องลองคือ แกงเขียวหวานเต้าหู้, ปลาสามรสราดพริก, ซูชิห้าสี, แกงส้มผักรวมมิตร, พะแนงเต้าหู้ และเค้กเจ
พิกัด: ถ.วัชรพล-รามอินทรา ท่าแร้ง บางเขน กรุงเทพฯ ตรงข้ามเสถียรธรรมสถาน
5. Govinda Restaurant (โกวินดา)
ถ้าอยากจะเพิ่มสีสันให้กับมื้อเจของคุณฟินยิ่งขึ้น ต้องมาลองอาหารเจที่ “โกวินดา” กันสักครั้ง ร้านนี้เป็นอาหารเจสไตล์อิตาเลี่ยนโฮมเมดแท้ ๆ ซึ่งจะเน้นใช้วัตถุดิบที่ปราศจากส่วนผสมของเนื้อสัตว์และไข่ในการปรุงอาหาร โดยจะใช้ชีสและนมที่ทำจากถั่วเหลืองแปรรูปแทน รวมถึงผักสดปลอดสารพิษ ทำให้อาหารสดใหม่ และดีต่อสุขภาพ สำหรับเมนูเด่น ได้แก่ พิซซ่า, สปาเก็ตตี้คาโบนารา, พาสต้าต่าง ๆ โดยเฉพาะราวิโอลี่ที่โดดเด่นมาก และเมนูลาซานญ่า รับรองว่าที่นี่จะเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับอาหารเจของคุณแน่นอน
พิกัด: ซอยสุขุมวิท 22 (ซอยสายน้ำทิพย์) เขตวัฒนา กทม.
6. Ponette cottage (เดอะโพเน่ คอทเทจ)
จีน ไทย ญี่ปุ่นมาครบ สาวกเกาหลีไม่ต้องน้อยใจ เพราะ “เดอะโพเน่ คอทเทจ” เป็นร้านชาบูสุกี้เจสไตล์ไต้หวันที่มาพร้อมวัตถุดิบสดใหม่โดยเฉพาะพืชผักที่ทางร้านใช้จะลงมือปลูกเองทั้งหมด จึงไร้สารเคมีและยาฆ่าแมลง ส่วนน้ำจิ้มมีให้เลือกถึง 4 อย่าง ทั้งน้ำจิ้มสุกี้แบบไทย ๆ น้ำจิ้มเต้าหู้ยี้งาขาว น้ำจิ้มซาฉ่า และพริกผัดน้ำมันสไตล์ไต้หวัน โดยให้บริการแบบบุพเฟ่ต์ ให้สายชาบูกินไม่อั้นจนพุงแตกไปเลย
พิกัด: ถนนเฉลิมพระเกียรติ ร. 9 ซอย 14
7. Makai Acai & Superfood Bar (มาคาอิ อาซาอิ)
อร่อยฟินกับมื้อคาวกันไปแล้ว มาต่อกันรัว ๆ ด้วยของหวานกับร้าน “มาคาอิ อาซาอิ” ซึ่งเป็นคาเฟ่เล็ก ๆ ที่ขายอาซาอิ โบวล์ (Acai Bowl) ซึ่งเป็นผลไม้ท้องถิ่นที่มีหน้าตาคล้ายกับเบอร์รี่ ซึ่งมีต้นกำเนิดในป่าอเมซอน แถบตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศบราซิล และเป็นที่นิยมทานกันมากในฮาวาย เพราะอุดมด้วยคุณประโยชน์ทางโภชนาการที่แสนมหัศจรรย์ แถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง พร้อมโรยด้วย Superfood หรือเมล็ดธัญพืชที่อุดมไปด้วยวิตามินและใยอาหาร รับรองสายหวานต้องฟินเพลินจนลืมไปว่ากำลังทานเจอยู่นะเนี่ย
พิกัด: สุขุมวิท 23 และ BTS ช่องนนทรี
8. Veganerie (วีแกนเนอรี่)
ร้านสุดท้ายขอปิดท้ายด้วย “วีแกนเนอรี่” คาเฟ่ที่เสิร์ฟเบเกอรี่เจแสนอร่อยในแบบ Vegan 100% โดยใช้ส่วนประกอบที่ปราศจากนม เนย ไข่ และเนื้อสัตว์ พร้อมเทคนิคการปรุงสุดพิเศษ ทำให้ขนมหวานแต่ละจานได้รสชาติไม่แตกต่างไปจากการทานเบเกอรี่ทั่วไป โดยของหวานที่นี่มีให้เลือกหลากหลาย แต่เมนูเด็ดที่ห้ามพลาดคือ บราวนี่ สูตรไร้เนยและไข่ที่อร่อยมาก อยากรู้ว่าอร่อยเด็ดแค่ไหนกอย่าช้า ต้องรีบไปลองชิมดู
พิกัด: ชั้น 4 ห้าง Mercury Ville
ช่องทางและวิธีการตรวจสอบ ค่าบริการ แพ็กเกจอินเทอร์เน็ต ด้วยตัวเอง
วิธีการเช็กเน็ตดีแทค และข้อมูลการใช้งาน
โทรศัพท์ราคาไม่เกิน 1,000
มือถือไม่เกิน 2000 บาท ราคาเบา ๆ
โทรศัพท์มือถือ Samsung ราคาไม่เกิน 3,000
แนะนำมือถือราคาไม่เกิน 4,000 บาท ถ่ายภาพสวย แบตอึด สำหรับย้ายค่ายเบอร์เดิม
แนะนำมือถือ ชั้นนำ ราคาไม่เกิน 5,000 ปี 2021
5 รุ่นมือถือราคาไม่เกิน 10,000 บาทรุ่นท็อปจากดีแทค ที่มีครบทุกฟังก์ชั่น ในราคาสุดพิเศษ